วันอังคารที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2555

เทคนิคการพูด

                                             



                      

                     เทคนิคการพูด  สำหรับนักพูดที่ดีมีดังนี้
1.หากคุณเป็นคนพูดห้วนๆ สั้นๆ ก็จงทอดเสียงให้ยาวและนุ่มนวลขึ้น ลดการกระแทกกระทั้นของเสียงและการรวบคำ การพูดของคุณจะฟังดูอ่อนหวานและเป็นมิตรขึ้น

2.หากคุณเป็นคนพูดเสียงดัง พูดเหมือนตะโกน คำราม หรือแผดเสียง ขอให้พูดให้ช้าลง เบาลง ลดความพะวงว่าคนอื่นจะไม่สนใจสิ่งที่คุณพูดลงมาบ้าง แล้วมองหาจังหวะที่เหมาะสมเพื่อการพูด แทนที่จะเลือกใช้แต่เสียงดังๆ เพื่อช่วงชิงโอกาสในการพูดจากคนอื่น หรือเพื่อสร้างความน่าสนใจในตัวเอง

3.หากคุณเป็นคนเสียงใหญ่ ให้พูดให้ช้าลง ชัดถ้อยชัดคำ ไม่ต้องลงเสียงหนัก และยิ้มแย้มแจ่มใสให้มากขึ้น จะดูเป็นมิตรขึ้น และดูเป็นฝ่ายคุกคามน้อยลง

4.เมื่อโกรธหรือไม่พอใจ ไม่จำเป็นต้องกรี๊ด พูดจามึงมาพาโวย เอะอะ หรือทำเสียงเขียว เมื่อโกรธยิ่งต้องข่มกลั้นอารมณ์ ยิ้มน้อยๆ แล้วพูดในสิ่งที่จำเป็นต้องพูด ช้าๆ ชัดๆ ด้วยน้ำเสียงเรียบๆ หายใจลึกๆ เพื่อไม่ให้รู้สึกอึดอัดทั้งคนพูดและคนฟัง สบตากับผู้ฟังอย่างเป็นมิตร แล้วปิดการสนทนาอย่างนุ่มนวล

5.เมื่อจะออกคำสั่ง ใช้เสียงดังปานกลาง เพียงเพื่อให้ผู้รับคำสั่งได้ฟังอย่างชัดเจน ไม่ขาดตกบกพร่อง สื่อสารสิ่งที่ต้องการให้อีกฝ่ายปฏิบัติให้ชัดเจนและครบถ้วน มองเขาด้วยสายตาเป็นมิตร และด้วยท่าทีที่ผ่อนคลาย

6.หากคุณเป็นคนเสียงเล็ก พูดด้วยเสียงดังปานกลาง ช้าๆ ชัดๆ ไม่หนีบเสียง หรือดันลมที่ใช้เปล่งเสียงขึ้นจมูก พูดให้ฉะฉานเพื่อให้ดูน่าเชื่อถือขึ้น คนเสียงเล็กๆ ไม่ควรพูดด้วยน้ำเสียงที่เขาเรียกกันว่า งุ้งๆ งิ้งๆ หรือเสียงเหมือนลูกแมวเมี้ยวๆๆๆ จุดด้อยของคนเสียงเล็กคือดูเป็นเด็ก ดูไม่น่าเชื่อถือ ขี้อ้อน และอ่อนแอ ต้องแก้จุดด้อยเหล่านี้ อย่าให้มีปรากฏในน้ำเสียง เมื่อไปประกอบกับมาด และสีหน้าท่าทาง จะดูน่าเชื่อถือขึ้น

7.หากคุณพูดไม่เก่ง อย่าเอาแต่คิดว่าฉันพูดไม่เก่ง คนเราที่จริงแล้วมีหน้าที่พูดจาเพียงแค่พอประมาณ ไม่ต้องพูดมากหรือเก็บออมถนอมเสียงราวกับกลัวว่าดอกพิกุลจะร่วง การพูดมีไว้เพื่อสื่อสารความคิด อารมณ์ และทำให้ธุระทั้งหลายที่ต้องเกี่ยวข้อง-สัมพันธ์กับผู้อื่นนั้นลุล่วง เพื่อให้ผู้อื่นเข้าใจเรา และเราเข้าใจผู้อื่น คือเข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น ใครที่พูดจาเหมาะสมต่อการสื่อสารและสื่อสารได้ ก็ถือว่าเป็นคนพูดเก่งแล้วทั้งนั้น


                                                                              หัวใจของการพูด
                                                  ถึงที่สุดแล้ว หัวใจของการพูดก็คือเพื่อการสื่อสารเท่านั้นเอง จึงไม่จำเป็นต้องพูดให้มากกว่าที่ควรจะพูด หรือมากเกินกว่าที่คนฟังจะทนไหว ต้องพูดจริง ไม่มากไปกว่าความจริง เพราะมันจะกลายเป็นการโม้ คุยโว หรือกลายเป็นเท็จขึ้นมาทันที              พร้อมกันนี้ต้องเข้าใจเป้าหมายของการพูดในแต่ละครั้งให้ชัด อ่านเป้าหมายให้ขาด แล้วพูดเพื่อให้ทุกฝ่ายบรรลุถึงเป้าหมายนั้น เช่น เมื่อไปสัมภาษณ์งาน เป้าหมายคือเพื่อแสดงตนเองอย่างน่าเชื่อถือ ดังนั้นการสัมภาษณ์งานส่วนใหญ่จึงมุ่งสอบทานความรู้ ทัศนคติ กิริยามารยาท บุคลิกภาพที่เหมาะสมกับตำแหน่งหน้าที่ ไหวพริบปฏิภาณ และการควบคุมอารมณ์ ผู้ถูกสัมภาษณ์ก็ย่อมมีเป้าหมายในการพูดและการแสดงออกเพื่อให้อีกฝ่ายประจักษ์ในคุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ในตัวคุณเท่านั้น


  ข้อมูลโดย  : ประณม ถาวรเวช สถาบันพัฒนาบุคลิกภาพจอห์น โรเบิร์ต พาวเวอร์


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น